โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากการสะสมของไขมันและคราบพลัคในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดแคบลง และการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายได้
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
อาการของโรคนี้ขึ้นอยู่กับระดับของการตีบของหลอดเลือดหัวใจ และอาจมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ได้แก่
อาการหลัก
เจ็บหน้าอก (Angina): อาการแน่นหรือปวดเหมือนถูกกดที่กลางหน้าอก ร้าวไปที่แขน คอ หรือหลัง
หายใจลำบาก (Shortness of breath): รู้สึกเหนื่อยง่าย แม้ทำกิจกรรมเล็กน้อย
ใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เวียนหัวหรือเป็นลม
อ่อนเพลียเรื้อรัง
อาการรุนแรงที่อาจบ่งบอกว่ากำลังเกิดภาวะหัวใจวาย
เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง และยาวนานกว่า 10-15 นาที
เหงื่อออกมากผิดปกติ
คลื่นไส้ อาเจียน
หายใจไม่ออกอย่างเฉียบพลัน
หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์หรือโทรเรียกรถพยาบาลทันที
วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช อาหารไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารทอด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที/วัน , 5 วัน/สัปดาห์
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
หยุดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
ลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
ตรวจวัดความดันโลหิต
ตรวจระดับไขมันในเลือด
ตรวจน้ำตาลในเลือด
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
1.การใช้ยา
ยาต้านเกล็ดเลือด (Aspirin) ช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือด
ยาลดไขมัน (Statins) ลดคอเลสเตอรอล
ยาขยายหลอดเลือด (Nitrates) บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
ยาลดความดันโลหิต
2.การทำหัตถการ
การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (Angioplasty) ใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดที่ตีบ
การใส่ขดลวด (Stent Placement) ใส่ขดลวดเพื่อเปิดหลอดเลือดให้กว้างขึ้น
การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Bypass Surgery) ผ่าตัดนำเส้นเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาต่อเชื่อมใหม่
สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดปัจจัยเสี่ยง และตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันที